วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เส้นทางท่องเที่ยวอุโมงค์ปิยะมิตร-จุดชมวิวทะเลหมอกปิยะมิตร-สวนดอกไม้เบตง(...


   เส้นทางท่องเที่ยวอุโมงค์ปิยะมิตร-จุดชมวิวทะเลหมอกปิยะมิตร-สวนดอกไม้เบตง(สายบน) โดยจุดเริ่มต้นที่อนุสรณ์สถานบ้านปิยะมิตร ผ่านอุโมงค์ปิยะมิตร ไปยังสวนดอกไม้โดยใช้เส้นทางสายบนคือเส้นทางที่มีความสูงชัน และคดเคี้ยว แต่เป็นเส้นทางที่มองเห็นภูเขา ทะเลหมอกมีวิวธรรมชาติที่สวยงาม จะแนะนำจุดชมวิวทะเลหมอกปิยะมิตรและจุดชมวิวสวนดอกไม้ให้ได้รู้จักกัน




















วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

อนุสรณ์สถานบ้านปิยะมิตร 2020


   อนุสรณ์สถานบ้านปิยะมิตร เพื่อเป็นการระลึกถึงภารกิจอันเรืองโรจน์ของวีรชนรุ่นก่อน และเพื่อวิญญาณของท่านไปสู่สุคติ จึงขอสร้างสวนสุสานวีรชนแห่งนี้ไว้เป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อแสดงความรำลึกถึงเป็นสักขีพยานและหลักฐานแห่งประวัติศาสตร์ของเมืองเบตง
















อนุสรณ์สถานบ้านปิยะมิตร ตั้งอยู่ ที่หมู่บ้านปิยะมิตร 1หมู่ที่ 2 ต.ตาเนาะแมเราะ อ.เบตง จ.ยะลา อนุสรณ์สถานเหล่านักรบพรรคคอมมิวนิสต์มลายา บ้านปิยะมิตรแห่งนี้ เป็นอนุสรณ์สถานแห่งที่ 2 ถัดจากแห่งแรกที่ หมู่บ้านจุฬาภรณ์ 10 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งอนุสรณ์ทั้ง 2 แห่งได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรบุรุษที่ยืนหยัดในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชาติ ในช่วงที่ดำรงชีวิตอยู่ในประเทศไทย





วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

พิพิธภัณฑ์กาแป๊ะกอตอหรือศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมชุมชนเมืองเก่า


   พิพิธภัณฑ์กาแป๊ะกอตอหรือศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมชุมชนเมืองเก่า ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 73/1 หมู่ 2 บ้านกาแป๊ะกอตอ ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
กาแป๊ะกอตอนั้นมาจากคำในภาษายาวี 2คำคือ กาแป๊ะซึ่งหมายถึง ต้นไม้ใหญ่ และกอตอ แปลว่าวังหรือปราสาทที่ประทับ
















พิพิธภัณฑ์กาแป๊ะกอตอหรือศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมชุมชนเมืองเก่า เป็นการรวบรวมโบราณวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องปั้นดินเผา มีด กริช และเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาแสดงไว้
เวลาเปิดให้เข้าชม วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 9:00-17:00 หยุด วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์











วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เฟิร์นบัวแฉกหรือบัวแฉก พบได้ที่ทะเลหมอกจาเราะกางา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ...


   เฟิร์นบัวแฉกหรือบัวแฉก เป็นเฟิร์นดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่งของโลกพบได้ที่ทะเลหมอกจาเราะกางา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
ลักษณะทั่วไปของเฟินในสกุลนี้ เป็นเฟินดิน ขนาดกลางถึงใหญ่ ลำต้นเป็นเหง้าฝังตัวอยู่ในดิน เลื้อยไกล แข็งเป็นเนื้อไม้ ปกคลุมแน่นด้วยขนหยาบ สีดำ ขนประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ เรียงต่อกันเป็นแถว ลักษณะก้านใบ ก้านใบยาว ไม่มีปมข้อต่อระหว่างโคนก้านกับเหง้า ก้านชูตั้งขึ้น ผิวเเกลี้ยง ด้านหน้าเป็นร่อง ระบบท่อลำเลียงจัดเรียงตัวรูปตัว U โค้งคว่ำลง ลักษณะใบ แบ่งเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน ก็มี ละแต่ละแผ่นแบ่งเป็นหลายส่วน ไม่เท่ากัน แกนใบหลัก แตกสาขาคู่หลายครั้ง เส้นใบโค้งจรดเข้าหากัน แผ่นใบบางเหมือนแผ่นกระดาษ ปลายใบแฉกลึก แผนใบหนา เกลี้ยง หรืออาจสากคายมือด้วยมีขนที่อยู่ทางด้านล่าง แต่ก็พบบ่อยที่ผิวด้านล่างเกลี้ยง อับสปอร์ เม็ดกลม เล็ก เปลือย จัดเรียงตัวไม่เป็นระเบียบใต้ผิวใบ ปกติมักจะอยู่ที่ปลายย่อยของเส้นใบ ไม่มีเยื่อหุ้มอินดูเซียปิดคลุมอับสปอร์ มีเยื่อ paraphyses คลุม

















ทะเลหมอกจาเราะกางา ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจก็คือใบไผ่รูปดอกกุหลาบ เป็นต้นไผ่ที่แปลกตาตรงที่ใบมีรูปคล้ายๆดอกกุหลาบ ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาให้ดูสวยงาม

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เหล็กไหล


เหล็กไหล คือ ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มี ความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม และภูตผี ปีศาจ เป็นสสารที่มีจิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่ มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มคลองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรงรวมถึง อาวุธร้ายแรงนานยาชนิด และ กันผีป่า ภูตผีปีศาจ ทั้งหลายได้ ป้องกันผีอำได้อย่างอัศจรรย์นั้นเอง

ประเภทของเหล็กไหล                                  ธาตุศักดิ์สิทธิที่เราเรียกกันว่า ?เหล็กไหล? นี้ พอจะแบ่งแยกได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกัน

1.ธรรมธาตุ กำเนิดของเหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากจิตของเทพพรหมในอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งเป็น ?อรูปพรหม? ที่ปรารถนาจะมาช่วยรักษาพระพุทธศาสนา จึงได้ลงมาบำเพ็ญฌาณในมนุษย์โลก ได้เข้ามาสัมผัสเข้ากับกลิ่นอันโอชะของง้วนดิน ที่เป็นธาตุ บริสุทธิ์มาแต่เดิม แล้วเกิดติดใจในความโอชาของง้วนดินเข้า เมื่อเสพแล้วก็เลยหาที่พักพิงอาศัยอยู่ ตามเงื้อมเขา ตามถ้ำอันสงบ เป็นอยู่อย่างนั้นตามสภาพของจิต ล้านปีบ้าง แสนปีบ้าง หมื่นปีบ้าง ร้อยปีบ้าง หนึ่งปีบ้าง

เมื่ออัธยาศรัยของจิตเริ่มเกาะรูปธรรม จึงได้เนรมิตรธาตุบริสุทธิ อันประกอบด้วย ธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยการเนรมิตรเอาด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ขึ้นมาประกอบเป็นเรือนกาย ฝังตัวอยู่ในก้อนธาตุเหล่านั้น อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นเพศผู้ก็มี เพศเมียก็มี อยู่โดดเดี่ยวก็มี เป็นคู่ก็มี เป็นกลุ่มก็มี มีรังอาศัยอยู่ก็มี ที่ไม่มีรังอาศัยอยู่ก็มี โดยปกติแล้วปีหนึ่ง ๆ ประมาณเดือน 5 ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จะออกหาเสพง้วนดิน

แต่ในสมัยปัจจุบันโลกมนุษย์ของเรา ผิวพื้นโลกไม่มีความสะอาดเพียงพอ จึงไม่มีง้วนดินอยู่ ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จึงต้องอาศัย เสพน้ำผึ้งแทนเฉพาะในเวลากลางคืนโดยอาศัยป่าเขาต่าง ๆ ซึ่งบางคนอาจจะเคยพบเห็น

ลักษณะการเคลื่อนที่ของธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ จะปรากฏเป็นดวงกลมใหญ่ เล็ก ลอยออกจากหน้าผาหรือถ้ำ ออกไปจับรังผึ้งตามต้นไม้ บางดวงก็ลอยหายไปในโพรงไม้เพื่อกินน้ำผึ้งโพรง บางดวงก็ลอยหายไปใต้พื้นดินเพื่อกินน้ำหวานของแมงขี้สูตร

ถ้าผู้พบเห็นมีความสามารถพิเศษ ก็สามารถเชิญเขามาสนทนาได้เช่นกัน แต่ถ้าต้องการที่จะครอบครองของสิ่งนี้ ต้องมีวาสนาบารมีสั่งสมร่วมกันมาตั้งแต่อดีต หรือมิเช่นนั้นก็ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม จิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ถึงพร้อมพรหมวิหารธรรม เจตนาเป็นกุศลจิต ก็อาจทำพิธีอัญเชิญท่านให้ปรากฏตนออกมา เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ทรงคุณธรรมทั้งฝ่ายฆราวาสและบรรพชิตที่ประสงค์จะช่วยกัน สืบพระศาสนาขององค์พระศรีศากยมุณี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาแต่อดีตชาติ แล้วได้จุติลงมาเป็นมนุษย์

เทพพรหมเหล่านี้มุ่งการบำเพ็ญบารมีทำความเพียรจนเข้าถึงอริยสัจจธรรม เพื่อที่จะได้น้อมนำชีวิตอุทิศตนเอง ถวายเป็นพุทธบูชาเสริมสร้างบารมีของตน จนเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า และจรรโลงกอบกู้อุปถัมภ์ค้ำชู พระพุทธศาสนาที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งธรรม

ดังนั้นฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลชนิดนี้จะสูงกว่าธาตุกายสิทธิ์ทุกประเภท สามารถทำปฏิกิริยาต่อเชื้อปะทุทุกชนิดและศาสตราวุธต่าง ๆ ให้หมดอานุภาพได้ เมื่อเทพนั้นมีความประสงค์จะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดู หรือเพื่อคุ้มครองรักษาเจ้าของเหล็กไหลนั้น คือจะแสดงฤทธิ์ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังล่องหนหายตัวได้เมื่อต้องการ โดยการสลายรูปธาตุทั้งสี่ให้เป็นอรูปธาตุ (วิญญาณธาตุ) แล้วประกอบขึ้นใหม่ได้ และเมื่อยังไม่ประกอบรูปธาตุก็จะยังไม่กินน้ำผึ้ง ต่อเมื่อประกอบธาตุแล้วจึงจะกินน้ำผึ้ง และต้องเป็นน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์อีกด้วย

ลักษณะพรรณสัณฐานของเหล็กไหลประเภทนี้มีหลายรูปแบบ เช่น รูปไข่ กลมรี ครึ่งซีก ทรงกลม หนำเลี๊ยบ รักบี้ เป็นต้น เพราะมองดูเผินจะมองไม่ออกเลยว่าเป็นเหล็กไหล เพราะเหมือนก้อนหิน ก้อนกรวดธรรมดา ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล ที่เป็นธรรมธาตุนี้ แต่ละองค์จะมีนามของตนเองโดยเฉพาะ จะต้องสอบถามนามของท่านเอาเอง

ยุคสมัยปัจจุบันมีผู้ตั้งค่านิยมของ ธาตุกายสิทธิ์ ไว้สูงมาก จนเกิดการทุ่มเทติดตามหาวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้อย่างจริงจัง จนหลายคนหมดเงินหมดทองไปเป็นจำนวนมาก แต่มีน้อยรายที่จะพบกับความสำเร็จ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ ความเป็นมาของธาตุวิเศษเหล่านี้ รวมทั้งขาดบุญวาสนาอีกด้วย พึงตระหนักอยู่เสมอว่า สิ่งใดมีคุณอนันต์ ก็ย่อมเกิดโทษอันมหันต์ได้เช่นกัน

2.ธาตุสำเร็จ เหล็กไหลชนิดนี้เป็น ?รูปธาตุ? มีแต่เพียงจิตครอง ไม่มีวิญญาณครอง เกิดจากฤทธิ์อำนาจของเทพระดับต่ำลงมาในระดับ ?รูปพรหม? โดยเมื่อครั้งในอดีตได้เคยบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีชีไพรจนสำเร็จรูปฌาณ แต่ด้วยบุพกรรมและความปรารถนาบางอย่าง จึงได้ลงมาสู่โลกมนุษย์ในลักษณะเป็นก้อนธาตุสำเร็จ รูปทรงต่าง ๆ กัน ที่เป็นเหมือนโลหะธาตุก็มี เหมือนแก้วใสก็มี สถานที่ อยู่ของเหล็กไหลประเภทนี้ มักจะอยู่ภายในถ้ำที่มีความสะอาด เย็น หรือชื้นแฉะ ธาตุเหล็กไหลประเภทนี้ไม่สามารถล่องลอยไปหาน้ำผึ้งกินเองได้ จะต้องอาศัยวัตถุธาตุที่เป็นสื่อเป็นสะพานนำไป โดยการไหลไปตามพื้นดิน ผนังถ้ำ หรือ หน้าผา

หากสถานที่นั้นไม่มีผึ้งทำรังอยู่ นานวันเข้าเหล็กไหลก็จะเคลื่อนย้ายเปลี่ยนที่ อยู่ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็จะมีการขับถ่ายของเสียออกมา ซึ่งเรียกกันว่า ?ขี้เหล็กไหล? เมื่อถ่ายมูลเสร็จจะกลับเข้ารังต่อไป

สำหรับเหล็กไหลประเภทนี้มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับธาตุกายสิทธิ์ประเภทแรก เพราะเป็นการประกอบธาตุให้ถูกส่วนของผู้มีวิชาแก่กล้าทางโลกียฌาณ คือ ฤาษี ชีไพร คนธรรพ์ วิทยาธร เป็นต้น แต่ไม่สามารถคุ้มครองตัวเองได้ เพราะถ้าเจอะผู้มีวิชาอาคมที่ แก่กล้า จะถูกทำลายหรือแย่งชิงได้ง่าย เนื่องจากมีเพียงวิญญาณธาตุ คือ พลังงานอย่างเดียว

ดังนั้นผู้มีเหล็กไหลประเภทนี้อยู่ มักจะไม่เปิดเผย เพราะเกรงผู้มีวิชาเรียกเอาได้ ลักษณะของเหล็กไหลประเภทนี้มักจะพบเห็นบ่อยครั้ง มีชื่อเรียกหาแตกต่างกันไปตามความคิดความเข้าใจและคุณสมบัติที่พบเห็น บางครั้งต้องทำพิธีพลีกรรมตัดเอา แต่ สำหรับผู้ทรงฌาณระดับสูงแล้ว เพียงแต่ทำการอัญเชิญท่าน ก็จะเสด็จมาอยู่ด้วยโดยไม่ ต้องมีพิธีกรรมที่ยุ่งยากแต่อย่างใด

อาณาจักรของเหล็กไหล

เนื่องจากเหล็กไหลประกอบไปด้วยธาตุเหล็กเป็นสำคัญ จึงต้องการสิ่งที่มีความแข็งแกร่งพอสมควรที่จะเข้าไปยึดเกาะเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อ สร้างอาณาจักรหรือรังขึ้นมา เฉกเช่นสัตว์โลกทั่วไปที่ จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัย เพื่อขยายเผ่าพันธ์มีลูกมีหลานสืบต่อไปในภายภาคหน้า

ดังนั้นโครงสร้างของอาณาจักรส่วนใหญ่จึงยึดเอาสิ่งที่มีธาตุเหล็กเป็นหลัก เพราะจะได้อาศัยการกินธาตุเหล็กเป็นอาหาร เพื่อเป็นการตั้งธาตุและปรับธาตุของตนเองให้เกิดความสมดุลย์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นธาตุดังเดิมที่มีอยู่ในพื้นภิภพและพื้นผิวโลกมาตั้งแต่การกำเ
นิดของโลกก็ว่าได้

ธาตุเหล็กจึงมีโอกาสดึงดูดและสะสมพลังงานต่าง ๆ ที่มีอำนาจมาไว้ในตนเองค่อนข้างมากและเป็นเวลานาน ทำให้เหล็กไหลมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มพูนขึ้น และเมื่อมีการกินธาตุเหล็กเข้าไปมาก ก็ย่อมมีการขับถ่ายของเสียออกมาหรือของเหลือออกมา กลายเป็น ?ขี้เหล็กไหล? ซึ่งมีลักษณะเหมือนเหล็กที่ผุตัวลงไป ไม่มีความแข็งแกร่งเหมือนกับตัวเหล็กไหล หรือ โคตรเหล็กไหล

แต่เหล็กไหลบางประเภทที่อาจจะมีผิวพรรณวรรณะไปทาง ธาตุกายสิทธิ์ คล้ายแก้วหรือหินย่อมจะสร้างรังหรืออาณาจักรที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นเทพผู้รักษาในระดับชั้นพรหมที่ละเว้นจากเรื่องกาม เช่น มหาฤาษีผู้เพ่งฌาณสร้างธาตุกายสิทธิ์ หรือ กลั่นกรองธาตุเหล่านั้นจนใสเป็นแก้วแตกต่างกันไปตามบารมี ชอบจะอาศัยอยู่ในโพรงหินที่เป็นแก้วสีที่แตกต่างกันออกไป หากดูภายนอกจะไม่ทราบเลยว่า ภายในก้อนหินเหล่านั้นจะมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลซ่อนอยู่ภายใน

รังของเหล็กไหล                                   



ความหมายของ ?รังเหล็กไหล? ย่อมหมายถึงลักษณะของถิ่นที่อยู่หรือโครงสร้างที่อยู่อาศัยนั้นเอง เหล็กไหลบางประเภทที่จำเป็นต้อง สร้างอาณาจักรนั้น ลักษณะของรัง จะเหมือนรังผึ้ง้ มีท่อ มีรู เชื่อมโยงอยู่ภายใน เหมือนเป็นเส้นทางเชื่อมโยงติดต่อซึ่งกันและกัน โดยมีการแบ่งสัดส่วนเป็นห้องเป็นหับ เหมือนสัตว์โลกทั่วไป เพื่อใช้เป็นห้องพักของตนเอง ห้องพักของตัวอ่อน ลูก ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะฟักตัวเองอยู่ในโพรง หลายตัวต่อโพรงก็มี

รังของเหล็กไหลเหล่านี้มักจะอยู่ภายในถ้ำคูหาต่าง ๆ พ่อแม่ก็อาจจะแสวงหาอาหารจากแร่ ธาตุและธาตุอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์อำนาจและพลังบารมีสูง เพื่อให้ตัวอ่อนมีความแก่กล้าและแข็งแรงเติบใหญ่ขึ้น พร้อมกับเรียนรู้สภาวะต่าง ๆ ไปพร้อมกัน

จากตัวเล็กขนาดเท่าปลายเข็ม ก็ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงขนาดไข่ปลาดุก ไข่กบ เม็ดถั่วเขียว เม็ดถั่วลิสง เชื่อกันว่าเม็ดเหล็กไหลขนาดเล็กเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีฤทธือำนาจมากขึ้นเท่านั้น เพราะหากมีเหตุเภทภัยอันใดจะมาถึงตัว ก็จะใช้ฤทธิ์ทั้งหมดในทีเดียว

ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือในหมู่ผู้ปฏิบัติจนได้ถึง เจโตรปริยญาณว่า ตัวเหล็กไหลที่แท้จริงนั้น ก็ คือตัวลูก ๆ ที่ยังเล็ก ๆ อยู่ หรือเพิ่งเป็นอิสระหลุดตัวเองออกมาจากญาณพ่อญาณแม่ของมัน

เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งปกป้องคุ้มครองจากเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ นาค วิทยาธร ให้ความอารักขา เนรมิตสิ่งบดบังคุ้มครองหรือปกปิดให้ เช่น ?แก้วขนเหล็ก? ที่เป็นเหมือนขนโลหะที่มี ความคมและแข็งห่อหุ้ม เหล็กไหลไว้ภายในโดยรอบ

เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งห่อหุ้มที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ ปกป้อง หรือ เป็นที่หลบซ่อนฝังตัวของเหล็กไหล ไม่ให้ปรากฏเป็นที่สนใจของผู้ที่มีเจตนาที่ไม่ดีได้พบเห็น มีลักษณะแตกต่างกันไป บางอย่างก็นิ่มคล้ายขี้ผึ้ง แต่พอโดนอากาศภายนอกนาน ๆ ก็จะแข็งตัว บางอย่างคล้ายแก้วสี ขุ่น ๆ ห่อหุ้มตัวไว้ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่เหตุปัจจัย

คุณสมบัติของผู้ครอบครองเหล็กไหล

เหล็กไหลจะอยู่กับผู้มีบุญเท่านั้น ผู้มีบุญในที่นี้หมายถึง ผู้ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ยึดมั่นในศีล 5 พรหมวิหาร 4 ผู้ละแล้วเสียซึ่ง ความโลภ โกรธ หลง เหล็กไหลเมื่อมีความยินดีจะอยู่คุ้มครองให้กับผู้ใดก็จะอยู่ด้วยตลอดไป เว้นแต่ผู้นั้นจะมีจิตใจที่เปลี่ยนไปในทางอกุศล เหล็กไหลก็อาจหายไปทันที

ดังนั้นผู้ครอบครองเหล็กไหล จึงควรมีคุณสมบัติดังนี้

1.บุญวาสนาและบารมี ที่ประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิ เป็นคนดีมีศีลธรรม

2.มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในธาตุกายสิทธิ์นี้

3.มีความปรารถนาอยากได้อย่างแรงกล้า

แท้จริงแล้วผู้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์แล้ว จะต้องมีบารมีรองรับพอเพียง มิฉะนั้นเหล็กไหลจะหนีกลับไปสู่เจ้าของเดิม หรือ ผู้ที่มีบารมีสูงพอ ดังนั้นถ้ามีเงินแต่ไม่มีคุณธรรม ก็อย่าหมายว่าจะซื้อได้

ท่านทั้งหลายได้ลองพิจารณาตนเองในส่วนนี้แล้วหรือยัง ในการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล เพราะเหล็กไหลทุกประเภท ล้วนแต่ยอมอุทิศตนเพื่อเสริมสร้างบารมีธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงมรรคผลนิพพาน จึงยอมอุทิศตนทั้ง ร่างกายคือธาตุขันธ์ และจิตวิญญาณ ในการสืบพระศาสนาให้มั่นคงสถาพรตราบนานเท่านาน

อาหารของเหล็กไหล

เนื่องจากผู้บำเพ็ญฌาณในระดับสูงและผู้สร้างเหล็กไหลในอดีต ล้วนแต่อาศัยตามเงื้อมผาและถ้ำคูหา เป็นที่บำเพ็ญพรตภาวนา มักจะถือศีล 8 กินพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลัก อาหารเสริมพิเศษที่ทำให้เกิดกำลังก็ คือ น้ำผึ้งป่า

ดังนั้นเหล็กไหลเกือบทุกประเภทก็ชมชอบที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน เพราะน้ำผึ้งเกิดจากความหวานของเกษรดอกไม้ต่าง ๆ ที่ผึ้งนำมาเก็บไว้ในรัง บางทีก็บินไปสร้างที่อยู่ใหม่ทิ้งรังเก่าไว้ตามคบไม้ หรือหน้าผา เมื่อเหล็กไหลมีจิตวิญญาณขององค์ฤาษีหรือเทพผู้สร้างสิงสถิตย์อยู่ จึงนิยมที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน                                 
ธาตุกายสิทธิ์
ธาตุกายสิทธิ์ ที่มีอยู่ในพื้นผิวโลกทุกชนิดย่อมที่จะมีเทวดา เทพ-พรหมที่มีฤทธิ์มีอำนาจเป็นผู้ดูแลรักษาอยู่ ถ้าได้นำไปใช้เพื่อความถูกต้องก็จะมีฤทธิ์มีอำนาจในการช่วยเหลือเกลื้อกูล คุ้มครอง แคล้วคลาด ป้องกัน ต่อผู้ที่มีจิตศรัทธา เคารพบูชาให้เดินอยู่ในเส้นทางของศีลธรรม ผู้ที่เป็นเจ้าของในการครอบครองธาตุกายสิทธิ์จะต้องมีศีลมีสัจ อยู่ประจำจิตใจของตน ธาตุกายสิทธิ์จึงบังเกิดผลสิทธิอำนาจนั้นๆได้สุดแท้แต่ ธาตุกายสิทธิ์ในแต่ละชนิดจะมีฤทธิ์อำนาจไปในแนวทางใด เพราะธาตุกายสิทธิ์นั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด เช่น อริยธาตุ วัชระธาตุ เพชรนิจ จินดา เหล็กไหล ไพรดำ ปรอท ว่านยา แร่ธาตุ ฯลฯ
ซึ่งธาตุกายสิทธิ์ในแต่ละชนิดจะมีฤทธิ์อำนาจที่ไม่เหมือนกัน บางชนิดก็เมตตา บางชนิดก็แคล้วคลาด บางชนิดก็คงกระพัน บางชนิดก็ใช้ในการรักษาโรค บางชนิดก็เด่นในทางมีโชค ลาภ ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับเหล่าเทพเทวาว่าจะมีบารมีประจุอยู่ในธาตุวัตถุชนิดนั้น เน้นหนักไปในแนวทางใด เพราะจิตวิญญาณที่ได้เคยอธิฐานจิตแผ่ญาณของตนเอาไว้กลายเป็นอนุภาคไฟฟ้าซึ่งมีอยู่ในทุกๆมวลธาตุ จนกลายเป็นฤทธิ์อำนาจที่มีอยู่เหนือความถี่ของภพชาติปัจจุบัน ซึ่งทุกคนกำลังใฝ่ฝันหาอยากจะได้มาครอบครองแสดงตนเป็นเจ้าของ..
ผู้ปฎิบัติส่วนใหญ่ที่ผ่านการศึกษาเรียนรู้ในธาตุกายสิทธิ์มาเป็นอย่างดี จะเกิดความสนใจเสาะแสวงหาอยากจะได้มาเพื่อเอาไว้บูชา เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง จะได้อาศัยองค์ความรู้ของจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลรักษาธาตุกายสิทธิ์มาเป็นบูรพาจารย์ กลายเป็นคุรุทางวิญญาณมาชี้แนะแนวทางการฝึกฝนปฏิบัติขัดเกลาอบรมจิตให้ จะได้เดินไปถูกแนวทางของมรรคา จึงทำให้ธาตุกายสิทธิ์แทบจะทุกชนิด เป็นที่ต้องตาต้องใจในหมู่ของนักปฏิบัติ เพื่อจะนำไปใช้ในการโทรจิต ติดต่อ สัมผัสสอบถามในสิ่งเกินองค์ความรู้ของมนุษย์ เช่น โลกทิพย์ เมืองบาดาล เมืองลับแล เมืองบังบด ว่าเป็นอย่างไร สามารถทำให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ขึ้นในชีวิตและทรัพย์สินโดยที่เราไม่คาดฝัน สามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้ด้วยฤทธิ์อำนาจและฌานสมาบัติของเทพ - เทวาที่ดูแลและรักษาวัตถุธาตุนั้นๆ ให้เป็นธรรมชาติแห่งความสมดุล ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของธรรมชาติให้เป็นไปตามปรมัตถสัจจะ
จึงทำให้ธาตุกายสิทธิ์ในยุคปัจจุบันนี้ กลายเป็นที่ยอมรับของผู้ที่มีญาณสมาธิ ว่าประจุไฟฟ้า พลังงาน หรือฤทธิ์อำนาจที่แทรกซึมอยู่ในวัตถุธาตุ สามารถที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
ส่วนวัตถุธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจหลงเหลืออยู่ในตัวเองสูง ยังไม่ค่อยผุดขึ้นมาให้มนุษย์พบหากันได้ง่ายๆเพราะเหล่าเทพ-เทวาที่ดูแลรักษาจะทำการคัดสรรกลั่นกรอง รอจังหวะ รอโอกาส รอจุดติของผู้มีฤทธิ์ ซึ่งเคยเป็นเจ้าของครอบครองวัตถุธาตุอันศักดิ์สิทธิ์เหล่ามานับจากอดีตยังไม่เปิดบารมีให้ ถ้าบุคคลนั้นไม่ใช่
?สายณะธรรม? ซึ่งเคยสร้างกรรมร่วมเวรมาแต่ภพภูมิก่อน
การเปิดตัวของธาตุกายสิทธิ์
เมื่อกาลนั้นๆ มาถึงธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้นก็จะผุดขึ้นมา
1. โดยการบวงสรวง อัญเชิญจากผู้รู้ ซึ่งในอดีตเคยผ่านการศึกษาเรียนรู้วัตถุธาตุอันทรงฤทธิ์เหล่านั้น จนเข้าใจดีแล้ว เพราะเคยเป็น สายณะธรรม ร่วมกรรม ร่วมเวรกับจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ภายในวัตถุธาตุนั้นมาก่อน
2. จะต้องเป็นเจ้าของ และเคยครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้นมาตั้งแต่อดีต
3. เทพ-เทวาที่ดูแลรักษา เกิดความเบื่อหน่ายในการดูแลรักษาวัตถุธาตุ และกาลเวลาที่จะต้องไปจุดติเกิดในภพภูมิใหม่จึงต้องออกแสวงหา(นิมิตฝัน) ผู้ที่มีบุญบารมีมารับวัตถุนี้ไปครอบครอง
4. ก่อนที่จะละธาตุขันธ์ไปจากวัตถุธาตุอันทรงฤทธิ์ได้ แผ่บุญบารมีของตนไว้ในวัตถุธาตุ เพื่อให้ผู้ที่มารับช่วงสามารถนำบารมี เหล่านั้นไปอธิษฐานจิต ใช้ตามแนวทางถูกต้อง มิเช่นนั้นจะกลายเป็นดาบ 2 คม
5. เทพ-เทวา อดรนทนต่อไม่ไหว เพราะเห็นความทุกข์ความยากของสรรพสัตว์มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงนิรมิต ดลบันดาลให้ธาตุกายสิทธิ์ผุดขึ้นมาตามสถานที่ต่างๆ
ฤทธิ์อำนาจของพืชวัตถุ
ดอกตะไคร้ กว่าจะพบเห็นดอกตะไคร้ขึ้นตามกอต่างๆได้ก็ต้องใช้ระยะเวลา 50 ปี ขึ้นไปจึงจะออกดอกขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง เขาถือกันว่าดอกตะไคร้เป็นของอาถรรพณ์ของเทพ-เทวาชั้นสูง จัดเป็นดอกไม้สักสิทธิ์ของสรวงสวรรค์ มีฤทธิ์อำนาจเด่นทางด้าน เมตตา มหานิยม โชคลาภ และ ป้องกันไฟได้เป็นอย่างดี สามารถเข้าเครื่องยาแก้โรคมะเร็งพบหาได้ยาก จึงมักนำมาบด เป็นมวลสารในการสร้างวัตถุอันเป็นมงคล
ว่านนางพญาท้าวเอว เป็นสมุนไพรยืนต้น ซึ่งมีกิ่งก้านสาขาเหมือนกับคนยืนเท้าเอว ใช้ป้องกันสัตว์ที่มีเขี้ยวงา นำมาพกพาติดตัว ป้องกันโรคปวดเมื่อยต่างๆได้เป้นอย่างดี
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าในอดีตนั่งบำเพ็ญฌานสมาธิ และได้อธิษฐานจิตให้ผลของต้นไม้ชนิดนี้มีพระรูปของ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ปรากฏขึ้นสืบเนื่องจากอดีตไม่มีวัตถุมงคลพระเครื่อง สำหรับพกพาติดตัว เมื่อพบเจอผลไม้ที่มีรูปพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ จึงเกิดศรัทธา เลื่อมใสจึงนำพกพาติดตัว
ในยุคปัจจุบันใช้ในการอธิษฐานจิต เสมือนกับพระธาตุชนิดหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเดินอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา

การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้ลึกละเอียด มองเห็นและถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์ความคิด  เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวดยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกัน เหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่านั้น !!

ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุ กายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป  จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า ?เหล็กไหล? ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง   คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่าง ๆ กันหลายรูปแบบ   เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้

   เหล็กไหลมีหลากหลายชนิด ลักษณะเป็นเนื้อโลหะสีมันวาวสะท้อนแสงได้ดี แข็งมีน้ำหนักเหมือนโลหะทั่วไป สนิมไม่กินเนื้อ มีพลังอำนาจในตัว ทางธรณีวิทยาเราจัดเป็นแร่ ประเภทหนึ่ง แต่ คนโบราณได้ค้นพบธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ขึ้นมา โดยการอนุมานจากอนุภาคธรรมชาติ ที่แสดงตนออกมาตามสภาพที่พบเห็นแล้วเรียกมันว่า ?เหล็กไหล? เช่น ยืดได้หดได้ด้วยตนเอง ไหลยืดออกมาเป็นทางยาว ดับความร้อนได้ ชอบกินน้ำผึ้ง มีฤทธิ์ทำลายฟอสฟอรัสหรือหัวไม้ขีดให้หมดสภาพไปได้ คือจุดไม่ติด เมื่อมีการทดลองให้ประจักษ์แก่สายตาในอิทธิ์ฤทธิ์ปาฎิหาริย์ จึงทำให้เกิดมีความปรารถนาและมีความต้องการสูง  มีการติดต่อซื้อขายกันในราคาที่ค่อนข้างสูง คิดตามน้ำหนักเป็นบาทหรือเป็นชิ้นเป็นองค์ในราคาหลักร้อยล้านกันขึ้นไป

    ?เหล็กไหล? จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป  แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่ ? เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่ ? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มี ประสพการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน ?เหล็กไหล? ที่เล่าขานที่สืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน บางครั้งก็มีผู้ขนานนามว่า ?ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี?

    ธาตุเหล็กไหลนี้จัดได้ว่า มีชีวิตจิตวิญญาณ และเป็นธาตุกายสิทธิ์ ด้วยว่ามันมี พลังงานอยู่ในตนเองสูงมาก  พลังงานนี้จะเทียบเท่ากับน้ำหนักหรือแรงกด เหมือนกับสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ จนบางครั้งยกไม่ขึ้น หรือยกขึ้นไม่ไหว นี่แหละคือคุณค่าพิเศษของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ จึงจัดเป็นธาตุที่หาได้ยากมาก จะอยู่ตามถ้ำ ตามหน้าผา หุบเขา หรือภูเขา บางครั้งเราเรียกกันว่า ?ธาตุน้ำนมของพระแม่นางธรณี? ด้วยเกิดจากสิ่งหลอมเหลวภายในโลกนั่นเอง จึงเปรียบเสมือนเลือดน้ำนมในอกของพระแม่นางธรณี

    ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้พลังงานจากธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดอันเกิดจากแร่ธาตุธรรมชาติ มาเป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ และอีเล็คโทรนิค

    ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลก็เช่นกัน เมื่อคนเราได้ค้นพบพลังงานอันมหาศาลที่ ซ่อนเร้นอยู่ จึงกลายเป็นของที่ทุกคนสนใจใคร่แสวงหากัน และจะหาธาตุเหล็กใดในโลกนี้บ้าง ที่มีพลังลึกลับอันมหัศจรรย์ซ่อนเร้นอยู่ในตัว เพราะเป็นพลังที่พิสดารจากธรรมชาติ เนื่องจากธาตุเหล็กธรรมดา  ถ้าสัมผัสพลังดูแล้วจะรู้สึกว่าธรรมดา แต่ถ้าเป็นเหล็กไหลจะรู้สึกถึงพลังอันหนักหน่วง มีน้ำหนักมากจนรู้สึกได้

      ความเข้าใจกันผิดๆ
เช่น คำที่ว่า เหล็กไหลของแท้ที่สามารถขายได้ก้อนละหลายสิบล้านไม่ว่าในสมัยก่อนหรือสมัยนี้ก็คงจะต
้องมีคุณสมบัติดังนี้คือ ปืนยิงไม่ออก ชนวนระเบิดไม่ทำงาน ลนแล้วยืดหดได้ ของมีคมทำอันตรายไม่ได้ มีคุณสมบัติในการดับพิษร้อนได้ทุกชนิด เหล็กไหลของแท้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนดังกล่าวข้างต้น สมัยก่อนมีไม่กี่ก้อน แม้สมัยนี้ก็เหมือนกัน

แต่ความเป็นจริง เหล็กไหลของจริงก็สามารถทำให้ปืนยิงออกมาได้ เพราะไม่ต้องการไปอยู่กับคนที่ไม่ได้ร่วมบุญกันมา แล้วคนขายก็นึกว่าของไม่ดี เลยขายให้คนอื่นต่อไปในราคาถูกๆ จนเหล็กไหลสามารถเจอเจ้าของที่เหล็กไหลเลือกไว้ได้ แล้วจะป้องกันคนๆนั้นตลอดไป การซื้อขายคนที่อยากได้จริงต้องหาครูบาอาจารย์ ที่สำเร็จญาณ ที่สามารถดูออกได้ และน่าเชื่อถือ หรือถ้าอยากได้เองแล้วจะดูเอง ก็คงต้องฝึกกสิณให้ได้คับ รับรองดูออกแน่ๆการฝึกกสิณ ก็ดูในเวปด้านซ้ายมือครับ โหลดไปฟังได้เลย ฝึกสำเร็จก็ดูได้ โดยที่ไม่ต้องไปถูกใครหลอกลวง หรือผู้ที่มีความสามารถดูออกว่าของนั้น พลังร้อน หรือเย็น อันนี้ควรระวัง จิตตัวเองหลอกเอาได้แต่ถ้าจับได้ว่าร้อนหรือเย็นก็ถือว่าใช้ได้แล้ว จะหาซื้อเหล็กไหลให้ได้ของดีจริง ควรฝึกกสิณไฟ ให้ได้ยิ่งดี หรือทั้ง 10 กสิณเลย คับถึงจะค่อยตามหาเหล็กไหล ถ้าไม่เป็นหรือไม่มีญาณ กันเลยให้ดูรวมๆเอา หาแบบธรรมชาติครับ โอกาศแท้ ก็มี 50% แล้วคับ ยุคนี้ ควรหามาใส่กันให้ได้นะครับ (หนุ่ย)เจ้าของเวป

ข้อห้าม

1.ห้ามผู้ครอบครอง หรือ เจ้าของเหล็กไหล ทดลองหรือขอชมบารมีด้วยตน เอง

2.ชักชวนคนอื่นมาชมบารมีหรือมาทดลอง

ข้อห้ามนี้ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะพบกับความวิบัติมากน้อยแล้วแต่กรณี ถ้าผู้อื่นมาชมด้วยความศรัทธา ก็จะได้พบกับความพิสดารในอิทธิ์ปาฎิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์ทุกราย                                 

คุณสมบัติของผู้ที่จะครอบครองเหล็กไหล(อีกตำราหนึงว่าไว้ว่า)
๑.ต้องเป็นผู้มีบุญวาสนาที่จะได้ครอบครองเหล็กไหล
๒.ต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาเป็นสำคัญ
๓.ต้องมีความปรารถนาอยากได้เหล็กไหลอย่างแรงกล้า

ดังนั้น เรื่องของเหล็กไหล จึงเป็นเรื่องยากที่จะเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองได้ง่าย ๆ เว้นแต่จะมีบารมีและมีความศรัทธาอย่างแรงกล้าจริง ๆ เท่านั้น

ฌานสมาบัติของเหล็กไหล
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าสีสันต่าง ๆ ของเหล็กไหลนั้นจะบ่งบอกถึงบุญบารมีของกายทิพย์เดิมหรือผู้รักษาเหล็กไหลซึ่งอาจจะเป็นพรหมฤาษี เหล่าเทวดา คนธรรพ์ เพชรพญาธร ยักษ์ ที่เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของทำให้เกิดฤทธิ์อำนาจเพิ่มมากขึ้นจนสามารถล่องหนหายตัว แบ่งแยกธาตุขันธ์ในรูปต่างๆ ได้ตามใจชอบ แม้กระทั่งยืดหดตัวเองได้ตามใจปรารถนา เพื่อความสะดวกในการใช้ฤทธิ์

๑.เหล็กไหลสีดำ
คือชนิดแรกของโลกที่มีธาตุขันธ์เดิม ๆ ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจในทางโลกิยะมากที่สุด เพราะเทวดาที่เข้าไปรักษาครอบครองดูแลธาตุเหล็กไหลชนิดนี้จะเป็นเทวดามิจฉาทิฐิจำพวกยักษ์เข้าไปครอบครองดูแลรักษา แต่มีบุญบารมีในทางธรรมน้อยที่สุดกว่าเหล็กไหล ทุกๆ สี แต่อำนาจในการปกป้องคุ้มครองยังมีอยู่

๒.สีน้ำตาลอมแดง
เหล็กไหลประเภทนี้มักจะมีเทวดาจำพวกพญานาคดูแลรักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรง จนสีสันจะออกเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลอมแดง มีฤทธิ์อำนาจในทางทำลายล้างพวกอวิชชาและมนต์ดำทั้งหลายป้องกันภูติฝีปีศาจได้ดี

๓.สีทองปลาไหล
หรือสีน้ำตาลอ่อน เหล็กไหลประเภทนี้มักจะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธรเป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธิ์อำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปได้สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ทั่วไปส่วนใหญ่จะอยู่ในป่าดงดิบที่เป็นที่อาศัยของเหล่าคนธรรพ์และเพชรพญาธร มีฤทธิ์อำนาจทางด้านเมตตามหานิยมและความรักเด่นเป็นพิเศษ

๔.เมฆพัตรสีฟ้าอมดำ
เหล็กไหลประเภทนี้จะมีลักษณะเงามันวาว มีเทวดาระดับเทพเป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจทางด้านคงกระพันชาตรี และมหาอุด ส่วนใหญ่จะพบในท้องทะเลสามารถเคลื่อนไหวไปตามกระแสน้ำได้ ถ้าพบในถ้ำหรือตามป่าเขาก็มักจะมีน้ำไหลผ่านในถ้ำนั้นด้วยเสมอ เพราะเหล็กไหลชนิดนี้ชอบวิ่งเล่นไปตามกระแสน้ำถ้าเกิดเหตุเภทภัยมาถึงตัวก็สามารถลื่นไหลหลบหลีกอันตรายได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวและชอบกินปรอทที่อยู่ในน้ำเป็นอาหาร สามารถที่จะล่องลอยกลับสู่สถานที่เดิมได้ในเวลากลางคืน ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าของเผลอหลับไป

๕.สีฟ้าอ่อนอมขาว
เหล็กไหลประเภทนี้มักเป็นเทวดาชั้นสูงในระดับของเทพ-พรหม มหาเทพมหาพรหมเป็นผู้ดูแลรักษามีฤทธิ์อำนาจในการปรับสภาพความเป็นอยู่และอุณหภูมิให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ ชอบอยู่ในสถานที่ชุ่มชื้นมาก ๆ เพื่ออำพรางตนเองจากสายตาคนภายนอกล่องหนหายตัว ไม่ชอบสว่างและความร้อนไม่ว่าจากดวงอาทิตย์หรือเปลวไฟสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน กันฟ้าผ่าก็ได้ ผู้ที่มีวาสนาจะได้ครอบครองส่วนใหญ่จะต้องมีศีลธรรม นิยมนำไปจัดสร้างเป็นวัตถุมงคลมนรูปแบบต่างๆ มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บดับพิษร้อนต่างๆ ป้องกันภูติ ผีปีศาจ แต่มีขอบเขตอำนาจในเขตรัศมีที่จำกัด

๖.สีเขียวปีกแมลงทับ
หรือสีเขียวเข้ม ชอบอยู่ในเขตหนาวจัด พบได้ตามถ้ำลึก ๆ ที่ลี้ลับ มีเทพระดับอริยะเทพอริยะพรหมเป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้มีบุญบารมีและผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศลเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น มักจะมีบริวารจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้นหลายด่านผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม พระภิกษุสงฆ์ที่ผ่านเข้าไปพบโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจเพื่อทดสอบบารมีก็แล้วแต่ มีฤทธิ์อำนาจด้านอริยะธรรมชั้นสูง เพื่อจะคอยช่วยเหลือผลักดันการปฏิบัติของผู้พบเห็นให้ดีขึ้น ชอบแปลงกายเป็นคนบ้าง เทวดาบ้างเพื่อทดสอบชี้แนะนำการปฏิบัติธรรม

๗.สีเขียวอมเทา
เหล็กไหลชนิดนี้มีบารมีธรรมในขั้นอริยะธรรมชั้นสูงเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก มักจะมีฤทธิ์ในทางปาฏิหาริย์ คือการเนรมิตเป็นดวงไฟสีเขียวบ้าง ดวงสีแดงบ้าง เพื่อให้ผู้พบเห็นเกิดความเกรงกลัวจะได้ไม่กล้าเข้าไปใกล้ในบริเวณนั้น ส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุอรหันต์ส่งเสริมบารมีธรรมให้กับผู้ที่ชอบการปฏิบัติจริงๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่มักจะเข้าไปช่วยเหลือชี้แนะในรูปของนิมิตบ้าง ความฝันบ้าง

๘.สีเงินยวง
หรือขาวหม่นเป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมในชั้นสูง มีคุณธรรมในด้านเมตตา คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติตัวอยู่ในธรรม หรือดลใจให้เจ้าของผู้ครอบครองตั้งมั่นอยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศลและตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม
เหล็กไหลชนิดนี้มักจะอยู่ในความครอบครองของพวกนักบวชต่างๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ มักจะพบในแถบที่มีอากาศหนาวจัด เช่นแถบเทือกเขาหิมาลัย ที่มีหินปกคลุมจะชอบมากเป็นพิเศษ
ฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลชนิดนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อ ผู้ที่เป็นเจ้าของมีศรัทธาจริง ๆ ส่วนใหญ่จะใช้ในการเสี่ยงทายบารมีมีตามสัตย์อธิษฐาน เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นอภินิหารตามแรงศรัทธาของผู้ใช้เอง
เหล็กไหลประเภทนี้จัดว่าเป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาเทพผู้ครอบครองรักษาเหล็กไหลทุกชนิด เพราะเหล็กไหลชนิดนี้อยู่ในรูปในขันธ์ของอรูปฌาน...ไม่มีตัวตน ของอริยะเทพ อริยะพรหมเข้าไปอยู่อาศัยเลย แต่จะมีบารมีแห่งธรรมเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ มักจะพบในการนำไปจัดสร้างพระพุทธรูป หรือวัตถุมงคลสมัยโบราณ

๙.สีขาวนวลเหมือนพระจันทร์คืนวันเพ็ญ
เหล็กไหลประเภทนี้ถือเป็นสุดยอดเหล็กไหลทั้งมวลมักพบตามภูเขาสูง ๆ สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามปรารถนา เรียกลมเรียกฝนก็ได้ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย เช่น ทำให้เกิดเป็นดวงกลมสว่างดังจันทร์เพ็ญ จนทำให้เกิดแสงสว่างทั่วบริเวณได้

เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้ของและพระอรหันต์ได้ และจะไม่มีเทพเจ้าเข้าไปรักษาอยู่แต่เทพเทวดาจะเข้าไปกราบไหว้เพื่อขอบารมีและดูแลรักษาอยู่ภายนอกและจะมีอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ชอบออกแสวงหาและเยี่ยมเยียน สอบถามสารทุกข์สุขดิบของผู้ปฏิบัติในชั้นสูงสามารถที่จะอาราธนาอัญเชิญมาเพื่อขอชมบารมี มาชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้ ไม่มีใครที่จะใช้วิชาอาคมหรือฤทธิ์อำนาจใด ๆ เข้าไปบังคับหรืออัญเชิญได้

 

ฝึกการสัมผัสธาตุกายสิทธิ์


 







   ฝึกการสัมผัสธาตุกายสิทธิ์

 การฝึกแบบนี้ อาจจะดูง่ายแต่ได้ผลดีมาก คนเราบางคนเกิดมาก็ไม่ได้ญาณพิเศษ หรือสัมผัสที่6 ใดๆเราจะพูดถึงคนที่ไม่มีแม้นกระทั่งญาณต่างๆเลย เข้าเรื่องกันเลนดีกว่า

1. นำธาตุกายสิทธิ์ที่คิดว่า ใช่ ถูกต้อง ของแท้ มีพลัง ชัว แน่นอน

2.นำมาอธิฐาณจิต ขอบารมี เช่น มีธาตุกายสิทธิ์ 1 ชิ้น นำมากำไว้ที่มือ ข้างไหนก็ได้

3.ให้เราสวดมนต์นะโม 3 จบ แล้วแผ่นเมตตา

4.ให้เราเอ่ยนามธาตุกายสิทธิ์นั้นๆ เช่น ขอบารมีแห่งธาตุกายสิทธิ์.......ที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสอยู่ที่มือข้าพเจ้านี้ ถ้าท่านเป็นธาตุกายสิทธิ์จริง...ขอให้มือหรือ ส่วนต่างๆของร่างการข้าพเจ้ากระตุก หรือ ผ่านทางสัมผัสที่6 ที่ข้าพเจ้าจะได้รับรู้ รับทราบว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์จริง เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้ดูแลเก็บรักษาบูชา ให้ดี

5.พอเอ่ยเสร็จก็ทำจิตให้ว่าง สงบนิ่ง ซัก 30 วินาที แล้วก็ทวนข้อ 4. ใหม่อีกครั้ง ทำแบบนี้ไปเรืองๆเวลาว่างๆ จนกว่าจะได้คำตอบ ฝึกบ่อยๆ ( ข้อสำคัญธาตุกายสิทธิ์นั้นต้องเป็นของจริงเท่านั้นเวลาฝึก

6.พอเริ่มรู้ตัวว่าเราสามารถสัมผัสได้ ทีนี้ก็ต้องมาดูที่คำตอบอีกที

7.พอเราชินกับการสัมผัสแล้ว ต่อไปมาดูคำตอบ ถ้ามีการบอกผ่านทางสัมผัสที่6 ทีมนุษย์ทุกคนมี เช่น คิ้วขวา คิ้วซ้าย ไหล่ขวา ไหล่ซ้าย ตาขวา ตาซ้าย

ปรายจมูกขวา ปลายจมูกซ้าย  เป็นต้น

8.เรามาดูคำตอบ ถ้าบอกผ่านสัมผัสที่6 ของคน คิ้วซ้าย ดี  ไหล่ซ้าน ดี ปลายจมูซ้าย ดี  คำว่าดีแปลโดยรวมว่าถูกต้อง มองอีกแห่งมุมนึง ส่วยซีกขาวของคนเราส่วนมาก คำตอบคือ ไม่  ไม่ใช่ ไม่ดี  เป็นต้น

9.ทีนี้มาดูถึงญาณสัมผัสที่ไม่ผ่านสัมผัสที่6 ของคนถือว่าดีขึ้นอีกนิด เช่น มีการชา ที่มือที่เราสัมผัสธาตุกายสิทธิ์ หรือ ร้อน  เย็น อันนี้จะแยกออกได้ว่า เป็นการบอกโดยตรง ในการแผ่พลังให้คนผู้นั้นสัมผัสได้จำเพราะ ให้รู้ว่าเป็นของวิเศษดีจริง

10.ทำแบบนี้ไปจนเราสามารถสัมผัสได้ พอญาณในร่างการคนเราปรับสภาพให้เข้ากับร่างกายจนสามารถ ถามและสัมผัสได้ตลอดเวลา ถือว่าใช้ได้แล้ว

11.ต่อไปจะฝึกลึกลงไปอีก ถ้าคนไหนได้แบบ มีการกระตุกผ่านร่างกายในรูปแบบ คิดแล้วคำตอบออกมาได้ตลอดเวลา เหมือนคุยภาษาใบกับร่างการตัวเราเอง หมายความว่า คิด พูด คุยกับตัวเองในใจ เช่น เอ........ของชิ้นนี้ดี เป็นธาตุกายสิทธิ์ แล้วให้เราจับจิตให้ว่างดูคำตอบที่จะออกมาทางร่างการว่าออกมาแบบไหน แล้วพยามจำส่วนนั้นๆให้เริ่มจากการเป้นคำพูด ยกตัวอย่าง เช่น เวลาถาม ปรายจมูกซ้ายมีความรุสึกชาๆนิดๆ เราก็เอาคำตอบใส่ลงไป เช่น แปลว่า ใช่ ดี  แต่ถ้าเป็นปรายจมูกขวา ก็ใส่คำตอบแทนลงไปว่า ไม่ใช่ ไม่ดี หรือถ้าความหมายลึกลงไปอีก ก็จะแปลปลายจมูกขวาว่า มีวิญญาณไม่ดี มาใกล้เราจนเกินไป แต่ก็ไม่ต้องลึกถึงขนาดนั้นก็ได้

12.เวลาฝึกควรหาของที่เป็นธาตุกายสิทธิ์ เท่านั้น ( ส่วนสำคัญคือ พลังญาณที่แผ่ออกมาจากธาตกายสิทธิ์นั้นๆจะช่วยให้เราสามารถสัมผัสได้ )

13. ไว้ค่อยมาบอกให้ เอาแคนี้ให้ได้กันก่อน ( ต่อไปจะมาบอกให้ขอบารมี ญาณให้อยู่ในร่างกาย คนเราให้เป็นครูบาอาจาร์ในร่างการคนเรา เอ....ใครอยากได้ตรงนี้ให้ไปบวชดีกว่า เพราะบอกไปพูดไปเดี๋ยวผมจะงงเอง เอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ



การบูชาธาตุกายสิทธิ์
1.เมื่อนำเหล็กไหลเข้าบ้าน ควรจุดธูป 5 ดอกแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้า ชื่อ......นามสกุล..........ข้าพเจ้าขอนำเหล็กไหลที่ข้าพเจ้าได้มานี้ นำมาบูชาเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัว ขอให้องค์พญาเหล็กไหลผู้ทรงอำนาจได้โปรดดลบันดาล ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ มีโชคมีลาภ เจริญรุ่งเรื่องด้วยหน้าที่การงานทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ทำ และความอยู่เย็นเป็นสุข ปราสจากโรกภัยไข้เจ็บทั้งหลาย ขออำนาจแห่งคุณรพระศรีรัตนไตร เมื่อข้าพเจ้าได้ทำบุญกุศลครั้งใด ขอให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำ จงไปถึงองค์พญาเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์ที่ข้าพเจ้าได้เป็นเจ้าของนี้ จงได้รับผลบุญของข้าพเจ้าทุกครั้งไปด้วยเทอญ
2.เมื่อนำเหล็กไหลเข้าบ้านแล้ว ก็นำน้ำผึ้ง เทใส่แก้วแล้วนำเหล็กไหลชิ้นนั้นแช่ลงไปซัก 1-3 วันจึงนำขึ้นมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วจึงนำขึ้นห้อยคอ
3.ใน 7 วันควรถอดออกมาแช่น้ำผึ้ง 1 ครั้ง
                                                                 เคล็ดลับการบูชา
          การบูชาทั่วๆไป การขอความสำเร็จนั้นอาจจะยากไปซักหน่อย แต่ก็สามารถทำให้มีการขอได้ง่ายขึ้นถ้าสามารถทำได้
1.การถวายข้าวปลาอาหารทุกวัน
2.ก่อนถวายข้าวปลาอาหาร ควรถวายพระพุทธที่บ้านเสียก่อน
3.สวดมนต์คาถาชินบันชรถวายแด่องค์เหล็กไหล (ให้เรานึกถึงว่าองค์เหล็กไหลรูปร่างเหมือนคนให้นึกว่าเป็นองค์เทพเนื้อตัวสีดำ แต่เครื่องทรงสีสดสวยงดงาม ด้วยการอิ่มบุญจากการที่เราสวดมนต์ถวาย)
4.ขอพร................อย่างที่เราอยากจะได้   การขอพรถ้ามันดูมากเกินไป ก็อาจจะได้บางส่วนที่ลดหลั่งลงมา
5.การทำแบนี้ ไม่ใช่แค่ เดือน 2 เดือนจะสนิดกับองค์เหล็กไหลเลย อันนี้ต้องอยู่ที่ความอดทนของคนๆนั้นด้วยเพราะจะต้องโดนทดสอบความอดทนด้วย
                                                               วิธีการสัมผัสกับธาตุกายสิทธิ์(ด้วยสัมผัสที่6)
1.เมื่อเรามีธาตุกายสิทธิ์ชนิดใดก็ได้ ต้องเป็นของจริงเท่านั้น นำมาไว้ที่กลางฝ่ามือ หรือถือไว้ที่นิ้วมือก็ได้ ก่อนที่เราจะฝึก ให้สวดนะโม 3 จบ แผ่เมตา
2.ให้เรานั่งสมาธิ หรือทำจิตให้สงบ ให้เราพูดว่า... ด้วยอำนาจ และบารมีแห่งธาตุกายสิทธิ์ที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสอยู่นี้ ถ้าเป็นธาตุกายสิทธิ์จริง ขอได้โปรดบอกข้าพเจ้าในการสัมผัส ผ่านทางกายเนื้อของข้าพเจ้าส่วนไหนก็ได้ให้ข้าพเจ้าได้สัมผัสและรับรู้ว่าเป็นของวิเศษ ธาตุกายสิทธิ์จริงด้วยเทอญ
3.พอทำข้อ 2 เสร็จ ให้เรานั่งสำรวจร่างกายตัวเรา ตั้งแต่เส้นผม จนถึงปลายเท้า ประมาณ 1 นาที ต่อจากนั้นให้เริ่มถามใหม่ว่า ด้วยอำนาจ และบารมีแห่งธาตุกายสิทธิ์ที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสอยู่นี้ ถ้าเป็นธาตุกายสิทธิ์จริง ขอได้โปรดบอกแก่ข้าพเจ้าด้วยด้วยเทอญ แล้วก็ทำจิตให้สงบ แล้วก็ พูดว่า ใช่ เป็นธาตุกายสิทธิ์จริง แล้วก็ทำจิตให้สงบ สำรวจร่างกายว่ามีการตอบสนองมั้ย ซัก 3 นาที ถ้ายังไม่มีส่วนไหนของร่างกายตอบสนอง ให้ถามคำถามใหม่หลังจาก 3 นาที
4.ถ้ามีการตอบสนองกลับมาแล้ว ให้จดจำการตอบสนองนั้นไว้ว่า เป็นคำว่าใช่ ตามคำถาม
5.พอเราเริ่มถามคำถามแบที่ 1 ไปแล้ว ให้เรามาถามแบที่ 2 ต่อ
6.ถามแบที่2 ทำจิตให้สงบถามในใจว่า ธาตุกายสิทธิ์ที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสอยู่นี้ ไม่มีความวิเศษเลย ไม่ใช่ธาตุกายสิทธิ์เลย ถ้าไม่ใช่เลยให้บอกข้าพเจ้าด้วยเทอญ ตอนถามก็ทำจิตสำรวจร่างกายเราไปด้วยว่ามีการตอบสนองออกมาแบไหนแล้วเราก็จำเอาไว้
7.ทำไปเรื่อยๆจนกว่าจะชำนาน พอชำนานในการถามสัมผัส ทีนี้เราก็สามารถสัมผัสของแต่ละชนิดได้รวมทั้งพระเครื่อง ทุกอย่างอยู่ที่ปาก และคำถาม
8.ทั้งหมดนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการสัมผัส พอเราเริ่มชำนานการสัมผัสจะแตกต่างออกไป เช่นมีทั้ง ร้อน หรือ เย็น
9.การสัมผัสแต่ละครั้ง จิตตัวเราเองสำคัญ อาจหลอกจิตตัวเราเองก็ได้ เพราะเราเกินชอบในของสิ่งนั้นขึ้นมาเลยคิดไปเองว่าใช่ หรือสัมผัสได้ว่าใช่ อันนี้คงต้องอาศัยความชำนานของแต่ละคนแล้วครับ
ข้อสำคัญ
1.ห้ามฆ่าสัตย์ทุกชนิด เช่น ห้ามตกปลา ห้ามเอาสัตย์เป็นๆมาทำอาหาร
2.ห้ามคิดไม่ดีต่อผู้อื่น
3.ห้ามคดโกงผู้อื่น