"เบตง"หรือที่คนในท้องถิ่นเรียกว่า"บือตง"เป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่ที่อยู่ในจังหวัดยะลา นับเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศไทย โดยมีลักษณะเป็นหัวหอกยื่นเข้าไปในประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ในแนวทิวเขาสันกาลาคีรี มีเนื้อที่ประมาณ 1,328 ตารางกิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองยะลาประมาณ 140 กิโลเมตร และห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 1,220 กิโลเมตร ด้วยภูมิประเทศของอำเภอเบตงส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงจึงทำให้เบตงมีอากาศดี และมีหมอกตลอดปี ดังคำขวัญประจำอำเภอที่ว่า “เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน”
ชื่อเดิมของอำเภอเบตงคือ ยะรม เป็นภาษามลายูมีความหมายว่า "เข็มเย็บผ้า"ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช 2473 อำเภอยะรมได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นอำเภอเบตงในปัจจุบัน ซึ่งคำว่า"เบตง"มาจากภาษามลายู ว่า "Buluh Betong" หมายถึง "ไม้ไผ่ขนาดใหญ่" คือไผ่ตง ซึ่งมีอยู่มากในท้องถิ่น ต้นไผ่ตงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอำเภอเบตง
แหล่งท่องเที่ยวบริเวณนอกเมือง
"บ่อน้ำร้อนเบตง"เป็นบ่อน้ำร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ความร้อนของน้ำสามารถต้มไข่ให้สุกได้ภายในเวลา 7 นาที ประชาชนทั่วไป และนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาอาบน้ำแร่ เพราะเชื่อกันว่าทำให้สุขภาพดี และรักษาโรคบางอย่างได้ ปัจจุบันองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลาได้สร้างรีสอร์ทไว้ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย
"น้ำตกอินทรศร"เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่เกิดจากภูเขารอบ ๆ มีแอ่งน้ำสำหรับลงเล่นน้ำท่ามกลางป่าเขียวขจีโดยรอบ มีลักษณะร่มรื่น และสามารถว่ายน้ำเล่นและพักผ่อนได้เป็นอย่างดี อยู่ถัดจากบ่อน้ำร้อนเบตงไปทางหมู่บ้าน ปิยะมิตร 1 ประมาณ 3.7 กิโลเมตร
"อุโมงค์ปิยะมิตร"ตั้งอยู่หมู่ 2 บ้านปิยะมิตร 1 ตำบลตะเนาะแมเราะ เป็นอุโมงค์ดินซึ่งอดีตขบวนการโจรคอมมิวนิสต์มาลายา (จคม.) สร้างขึ้น บนเนินเขาในป่าทึบ สำหรับเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ทางการเมือง ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง อุโมงค์มีลักษณะคดเคี้ยวเข้าไปในภูเขายาวประมาณ 1 กิโลเมตร ลึก 50-60 ฟุต และมีทางออก 6 ทาง ใช้เวลาขุด 3 เดือน เพื่อเป็นที่หลบภัยทางอากาศ และสะสมเสบียง
"สวนดอกไม้เมืองหนาว""สวนหมื่นบุปผา"อยู่ในบริเวณหมู่บ้านปิยะมิตร 2 ซึ่งห่างจากหมู่บ้านปิยะมิตร 1 ประมาณ 9 กิเมตร เป็นโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีพื้นที่ตั้งอยู่บนเขา มีอากาศเย็นสบาย มีแปลงทดลองปลูกไม้ดอกหลายประเภท เช่น ดอกฮอลีฮ้อค ดอกแอสเตอร์ ซึ่งมีสีสันสวยงาม ปัจจุบันทางโครงการมีบ้านพักไว้ให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
"หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา10" ภายในหมู่บ้านมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา ๑๐ สร้างขึ้นเพื่อจัดเก็บรวบรวมวัสดุสิ่งของที่อดีตขบวนการโจรคอมมิวนิสต์มาลายาใช้ในอดีต และรวบรวมประวัติความเป็นมาของการก่อตั้ง จคม. ให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษา นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ (ต้นสมพงษ์) อีกด้วย
"ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง"จุดชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง สามารถชมทะเลหมอกและชมวิวทิวทัศน์บนเขาไมโครเวฟ มีหอชมวิว ห้องน้ำ รปภ. เส้นทางสะดวกสบาย เพราะเป็นเส้นทางเป็นถนนลาดยาง ใกล้ถนนสาย 410 บริเวณ กม.33 ทางเข้าหมู่บ้านธารมะลิ ตำบลอัยเยอร์เวง ไต่ขึ้นไปประมาณ 7 กม.
"น้ำตกละอองรุ้ง"น้ำตกที่เป็นที่รู้จักกันดีของ ชาวไทยและต่างประเทศมากว่า 20 ปี ปัจจุบันได้รับการพัฒนาและดูแลโดยอุทยานแห่งชาติบางลาง ตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่าง ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง กับ ตำบลแม่หวาด อำเภอธารโต จังหวัดยะลา
"น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9"ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของตำบลอัยเยอร์เวง เพราะมีธรรมชาติที่สวยงาม ตั้งอยู่ริมถนนทางหลวงสาย 410 ยะลา-เบตง บริเวณ กิโลเมตรที่ 33 บ้าน กม.32สำหรับชั้นที่ 1,2และ ส่วนชั้นที่ 4 และ5 อยู่ในเขต ม.5บ้านวังใหม่ 5 ปัจจุบันได้รับการพัฒนาจนสามารถรองรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ
"ป่าบาลา-ฮาลา"เป็นป่ามีความหลากหลายทางชีวภาพ มีสัตว์ป่าหายากหลากชนิด สามารถพัฒนาเป็นแหล่งทัศนศึกษาและเข้าค่ายพักแรม ค่ายกิจกรรมเยาวชนได้ มีห้องพักค้างแรมสำหรับบริการนักท่องเที่ยว ปัจจุบันดำเนินการโดยกองร้อย ตชด.ที่ 445 และในอนาคต จังหวัดยะลามีแนวทางพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มีมาตรฐานแห่งหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนภายใต้วิสัยทัศน์ "อะแมซอนแห่งอาเซียน"
"สะพานแตปูซู"เป็นสะพานแขวนทำด้วยไม้ ข้ามแม่น้ำปัตตานี เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการเอาชนะธรรมชาติของชนผู้บุกเบิก ตำบลอัยเยอร์เวง
"ทะเลหมอกเขากุนุงซิลิปัต"เป็นจุดชมทะเลหมอกอีกแห่งของตำบลอัยเยอร์เวง ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 บ้านอัยเยอร์เวง ต.อัยเยอร์เวง ต้องนั่งรถไป 3.5 กม. เดินเท้าอีก 2 กม. สามารถชมหมอกได้ตลอดทั้งปี ครบ 360 องศา
"โอรัง อัสลี นากอ"เป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ อยู่ใกล้บ่อน้ำร้อนนากอ ม.9 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา เป็นกลุ่มชนพื้นเมือง เผ่า "มันนิ" หรือ ที่ชาวเมืองชอบเรียกว่า "ซาไก" ซึ่งพบว่า โอรัง อัสลี นากอ แตกต่างจากที่อื่นๆ เพราะมีการพัฒนาน้อยมาก ยังใช้ชีวิตเร่ร่อนในป่า ตามฤดูกาล เป็นครือญาติกับ โอรังอัสลี ปากคลองฮาลา ปัจจุบันพบกว่า 100 ชีวิต จะแต่งตัวเหมือนชาวบ้านยามอพยพมาอยู่ใกล้ชุมชน และ แต่งกลายแบบดั้งเดิมกึ่งเปลือยเมื่อเข้าไปในป่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น